วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ความประทับใจในโรงเรียน
เราไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เข้าเรียนที่นี่ตลอดเวลา 4 ปีที่ได้อยู่โรงเรียนสวนเมี่ยงวิทยามีความทรงจำมากมายที่เราประทับใจหนูว่าคุณครูที่นี้น่ารักทุกท่าน
คุณครูทุกท่านที่โรงเรียนแห่งนี้รัก และให้ความรู้แก่นักเรียนทุกคนอย่างเต็มที่คุณครูทุกคนมักจะสอนให้นักเรียนมีระเบียบวินัยเสมอจำได้ว่าตัวเราเองก็มีประสบการณ์ที่เคยมาโรงเรียนสาย
แล้วคุณครูก็ให้เราละคนอื่นๆที่มาสายโดนทำโทษ และเก็บขยะรอบโรงเรียนเป็นวิธีลงโทษของคุณครูในโรงเรียน สำหรับคนมาสาย ^^นอกจากเรื่องมาโรงเรียนสายแล้ว เมื่อตอนม.ต้น
นักเรียนหญิงทุกคนจะต้องตัดผมสั้นเลยติ่งหูมาได้แค่ 2 cm. แต่ตอนนั้นผมเรายาวเกินคุณครูซึ่งเราสนิทด้วยนั้น ด้วยความที่ไม่อยากให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างคุณคณูจึงเริ่มเดินและตรงมาตัดผมเราก่อน
จากนั้นเพื่อนๆคนอื่นในห้องที่ผมยาวเกินก็โดนตัดเช่นกันตอนนั้นเราก็เสียใจเล็กน้อยที่คุณครูคนนั้นมาตัดผมเราแต่มันก็ทำให้เรารู้ว่า คุณครูท่านยุติธรรมไม่ใช่เพราะสนิทกับเราแล้วจะไม่ตัดผมเรา
เราจึงไม่โกรธครูท่านนั้น จำได้ว่าตอนม.ต้นอยากอยู่สาย วิทย์- คณิต แต่พออยู่ม.ปลายกับได้เรียนสาย ศิลป์ - คำนวณเราอยู่ห้อง 4/2 เพื่อนๆทุกคนน่ารักมากเพื่อนๆในห้องหนูไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกันเลย
ห้องนี้เป็นห้องที่วิเศษมากพวกเราร่วมทุกข์ สุข กันมาจริงๆพวกเราร่วมทำกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนด้วยกัน และศิลปะเราร่วมซ้อมร่วมแสดงกัน สนุกมากๆ
นอกจากนี้ อีกกิจกรรมที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ งานกีฬาสีโรงเรียนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมากจริงๆปีนี้ฉันได้อยู่สีส้ม ได้ที่ 2 ^^พวกเราก็ทำเต็มความสามารถแล้ว ได้แค่นี้พวกเราก็ภูมิใจมากๆๆ
การที่ได้อยู่โรงเรียนแห่งนี้ ทำให้เรามีความทรงจำที่ดีมากคิดไปคิดมา หนูยังไม่อยากจบม.6เรย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่โรงเรียนเล็กๆ แต่ก็มีความสุขที่ครั้งหนึ่งได้เรียนที่นี้ สิ่งที่เล่าอาจดูเหมือนเว่อร์ แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้น
จริง หนูรักโรงเรียนแห่งนี้มาก ทั้งครู เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆและจะไม่มีวันลืมเรย
การใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการวิจัยในทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์(nuclear physics or particle) ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสารเรียกว่า อนุภาค (particle) และศึกษาค้นคว้าว่าอนุภาคที่เล็กที่สุดนี้สามารถรวมตัวกันเป็นสสารชนิดต่างๆ กันได้อย่างไร ด้วยแรงอะไรบ้าง วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาธรรมชาติของอนุภาคเหล่านี้จำเป็นต้องมีวิธีการแตกหรือแยกสสารต่างๆ ออกเป็นส่วนเล็กที่สุดคือ แยกจากสสารเป็นโมเลกุลแล้วเป็นอะตอม และในที่สุดเป็นอนุภาค วิธีศึกษาการแตกตัวของอะตอมนั้นใช้การถ่ายภาพปรากฏการณ์การเกิดอนุภาคนั้นๆ ในเครื่องมือพิเศษที่จัดขึ้นซึ่งเรียกว่า บับเบิลแชมเบอร์ (bubble chamber)และสปาร์กแชมเบอร์ (spark chamber) ในการถ่ายภาพของการทดลองแต่ละครั้ง ต้องถ่ายเป็นจำนวนแสนๆ ภาพจึงจะได้ข้อมูลเพียงพอในการศึกษาคุณสมบัติของอนุภาคนั้นๆจากนั้นจึงนำเอาข้อมูลนี้ไปวัดและคำนวณประมวลผล สมมติว่าถ้าใช้คนหนึ่งคนนั่งวัดและคำนวณวันละ ๘ ชั่วโมง จะต้องใช้เวลาทั้งหมดประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปี แต่ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจะสามารถทำได้เร็วขึ้นมากเช่น ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดกลาง ๑ เครื่องจะคำนวณทั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กรณีให้แล้วเสร็ได้ในเวลาประมาณ ๑ ๑๒ ปี ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดกลาง๒ เครื่องจะสามารถแล้วเสร็จในเวลาไม่ถึงปี ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ก็จะสามารถทำแล้วเสร็จภายในเวลา ๓-๔ เดือนเท่านั้น
ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ คริสทัลโลกราฟี (crystallography) วัตถุประสงค์ของวิชานี้คือ เพื่อศึกษาว่าอะตอมของผลึกของสสารต่างๆ มีโครงสร้างในโมเลกุลเป็นอย่างไรบ้าง ความรู้นี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงทางด้านการแพทย์ เคมี และชีววิทยา
โดยทั่วไปการจัดเรียงตัวของอะตอมของผลึกแต่ละชนิดย่อมมีแบบแผนและคุณสมบัติประจำตัวของแต่ละผลึกอยู่แล้ว เมื่อฉายรังสีเอกซ์หรือเอกซเรย์ผ่านผลึกนั้น ก็ย่อมจะได้ภาพในฟิล์มเอกซเรย์เป็นแบบแผนเฉพาะของผลึกนั้นฉะนั้นวิธีการศึกษาโครงสร้างของอะตอมของผลึก จึงเป็นการฉายแสงเอกซเรย์ผ่านผลึกแต่ละชนิด และถ่ายภาพเป็นฟิล์มเอกซเรย์เก็บไว้เพื่อการเปรียบเทียบแบบแผนของภาพว่าแบบแผนใดควรจะมีโครงสร้างของอะตอมในโมเลกุลอย่างไรการเปรียบเทียบจึงเป็นแบบที่ต้องลองแล้วลองอีก (trial and error) คือ สมมติว่าอะตอมหนึ่งอยู่ ณ จุดหนึ่ง อีกอะตอมหนึ่งอยู่ ณ อีกจุดหนึ่ง สมมติไปครบทุกอะตอม ซึ่งอาจจะรวมถึง ๑๐๐ อะตอมก็ได้ แล้วคำนวณว่าถ้าอะตอมต่างๆอยู่ ณ จุดต่างๆ นั้น จะได้แบบแผนเป็นภาพเอกซเรย์อย่างไรนำภาพจากการคำนวณนี้มาเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงของผลึกนั้นๆ ถ้าไม่เหมือนกันก็กลับไปเปลี่ยนหรือโยกย้ายตำแหน่งของอะตอมต่างๆ แล้วคำนวณหาแบบแผนของภาพอีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงอีกทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนได้ผลและโครงสร้างที่ถูกต้องซึ่งการกระทำเช่นนี้อาจจะต้องทำเป็นร้อยๆ ครั้ง จึงจะได้ผลที่ต้องการ โดยปกติแล้ว ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาคำนวณโดยคอมพิวเตอร์ประมาณ ๑๐ ชั่วโมงถ้าใช้คนคำนวณด้วยเครื่องคิดเลขจะต้องใช้เวลาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ชั่วโมง หรือประมาณ ๑๑๐ ปี
ตัวอย่างที่ ๓ ของการใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ ในการศึกษาทางเคมี นิสิตนักศึกษาต้องปฏิบัติการทดลองในมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีบางครั้งอาจเกิดการระเบิด มีคนบาดเจ็บขึ้นได้ ที่เกิดขึ้นเสมอๆ ก็คือหลอดแก้วแตก หรืออย่างน้อยที่สุดก็สิ้นเปลืองสารเคมีเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์แทนการทดลองจริง แบบที่เรียกว่า ห้องทดลองแห้ง
วิธีปฏิบัติก็คือ ให้นักเรียนพิมพ์บอกคอมพิวเตอร์ว่าจะเอาสารอะไรผสมกัน แล้วดูภาพสีที่จอโทรทัศน์คอมพิวเตอร์จะแสดงภาพบนจอให้เห็นขั้นตอนการทดลอง เช่น ถ้าใช้กรดผสมกับด่างก็จะเห็นเป็นภาพการปล่อยให้กรดค่อยๆหยดลงบนด่าง เกิดเกลือให้เห็นชัดเจนเหมือนทดลองจริงถ้ามีการใส่สารผิดก็มีภาพการระเบิดให้เห็นด้วยโดยคนดูไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย เป็นต้น
ในเมืองไทยขณะนี้ ยังไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในทางวิทยาศาสตร์มากเท่ากับในต่างประเทศ จะมีบ้างเพียงเล็กน้อยในมหาวิทยาลัย ต่อไปหากเรามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็จะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่ละโรงเพื่อทำการวิจัยและวัดผลให้ได้รวดเร็วตลอดเวลา
ในต่างประเทศมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณด้านคณิตศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น ใช้หาค่าของ p เป็นทศนิยมถึง ๒๐๐-๓๐๐ ตำแหน่ง ใช้ในการคำนวณและพิมพ์ตารางคณิตศาสตร์ต่างๆ ใช้ในการแก้ปัญหาที่เป็นสมการแบบต่างๆ ใช้ในทางสถิติ และใช้ในทางคอมพิวเตอร์ศาสตร์เอง เป็นต้น
ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีคณะคณิตวิทยาศาสตร์ (Mathematical Science) ซึ่งแบ่งออกเป็นภาควิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics) ภาควิชาสถิติ (Statistics) และภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (ComputerScience)
สำหรับบ้านเรานั้น ใน พ.ศ. ๒๕๒๙ มีการเรียนการสอนด้านคอมพิวเตอร์เกือบทุกมหาวิทยาลัย ฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ คริสทัลโลกราฟี (crystallography) วัตถุประสงค์ของวิชานี้คือ เพื่อศึกษาว่าอะตอมของผลึกของสสารต่างๆ มีโครงสร้างในโมเลกุลเป็นอย่างไรบ้าง ความรู้นี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงทางด้านการแพทย์ เคมี และชีววิทยา
โดยทั่วไปการจัดเรียงตัวของอะตอมของผลึกแต่ละชนิดย่อมมีแบบแผนและคุณสมบัติประจำตัวของแต่ละผลึกอยู่แล้ว เมื่อฉายรังสีเอกซ์หรือเอกซเรย์ผ่านผลึกนั้น ก็ย่อมจะได้ภาพในฟิล์มเอกซเรย์เป็นแบบแผนเฉพาะของผลึกนั้นฉะนั้นวิธีการศึกษาโครงสร้างของอะตอมของผลึก จึงเป็นการฉายแสงเอกซเรย์ผ่านผลึกแต่ละชนิด และถ่ายภาพเป็นฟิล์มเอกซเรย์เก็บไว้เพื่อการเปรียบเทียบแบบแผนของภาพว่าแบบแผนใดควรจะมีโครงสร้างของอะตอมในโมเลกุลอย่างไรการเปรียบเทียบจึงเป็นแบบที่ต้องลองแล้วลองอีก (trial and error) คือ สมมติว่าอะตอมหนึ่งอยู่ ณ จุดหนึ่ง อีกอะตอมหนึ่งอยู่ ณ อีกจุดหนึ่ง สมมติไปครบทุกอะตอม ซึ่งอาจจะรวมถึง ๑๐๐ อะตอมก็ได้ แล้วคำนวณว่าถ้าอะตอมต่างๆอยู่ ณ จุดต่างๆ นั้น จะได้แบบแผนเป็นภาพเอกซเรย์อย่างไรนำภาพจากการคำนวณนี้มาเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงของผลึกนั้นๆ ถ้าไม่เหมือนกันก็กลับไปเปลี่ยนหรือโยกย้ายตำแหน่งของอะตอมต่างๆ แล้วคำนวณหาแบบแผนของภาพอีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงอีกทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนได้ผลและโครงสร้างที่ถูกต้องซึ่งการกระทำเช่นนี้อาจจะต้องทำเป็นร้อยๆ ครั้ง จึงจะได้ผลที่ต้องการ โดยปกติแล้ว ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาคำนวณโดยคอมพิวเตอร์ประมาณ ๑๐ ชั่วโมงถ้าใช้คนคำนวณด้วยเครื่องคิดเลขจะต้องใช้เวลาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ชั่วโมง หรือประมาณ ๑๑๐ ปี
ตัวอย่างที่ ๓ ของการใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ ในการศึกษาทางเคมี นิสิตนักศึกษาต้องปฏิบัติการทดลองในมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีบางครั้งอาจเกิดการระเบิด มีคนบาดเจ็บขึ้นได้ ที่เกิดขึ้นเสมอๆ ก็คือหลอดแก้วแตก หรืออย่างน้อยที่สุดก็สิ้นเปลืองสารเคมีเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์แทนการทดลองจริง แบบที่เรียกว่า ห้องทดลองแห้ง
วิธีปฏิบัติก็คือ ให้นักเรียนพิมพ์บอกคอมพิวเตอร์ว่าจะเอาสารอะไรผสมกัน แล้วดูภาพสีที่จอโทรทัศน์คอมพิวเตอร์จะแสดงภาพบนจอให้เห็นขั้นตอนการทดลอง เช่น ถ้าใช้กรดผสมกับด่างก็จะเห็นเป็นภาพการปล่อยให้กรดค่อยๆหยดลงบนด่าง เกิดเกลือให้เห็นชัดเจนเหมือนทดลองจริงถ้ามีการใส่สารผิดก็มีภาพการระเบิดให้เห็นด้วยโดยคนดูไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย เป็นต้น
ในเมืองไทยขณะนี้ ยังไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในทางวิทยาศาสตร์มากเท่ากับในต่างประเทศ จะมีบ้างเพียงเล็กน้อยในมหาวิทยาลัย ต่อไปหากเรามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็จะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่ละโรงเพื่อทำการวิจัยและวัดผลให้ได้รวดเร็วตลอดเวลา
ในต่างประเทศมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณด้านคณิตศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น ใช้หาค่าของ p เป็นทศนิยมถึง ๒๐๐-๓๐๐ ตำแหน่ง ใช้ในการคำนวณและพิมพ์ตารางคณิตศาสตร์ต่างๆ ใช้ในการแก้ปัญหาที่เป็นสมการแบบต่างๆ ใช้ในทางสถิติ และใช้ในทางคอมพิวเตอร์ศาสตร์เอง เป็นต้น
ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีคณะคณิตวิทยาศาสตร์ (Mathematical Science) ซึ่งแบ่งออกเป็นภาควิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics) ภาควิชาสถิติ (Statistics) และภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (ComputerScience)
สำหรับบ้านเรานั้น ใน พ.ศ. ๒๕๒๙ มีการเรียนการสอนด้านคอมพิวเตอร์เกือบทุกมหาวิทยาลัย ฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ประมาณ ปี พ.ศ . 2500 คอมพิวเตอร์ มี อยู่ ใน โลก นี้ ไม่ มาก นัก ส่วน ใหญ่ จะ เป็นเครื่องใน ระบบเมนเฟรม ซึ่ง มี ขนาด ใหญ่ และ ราคา แพง ส่วน มาก จะ ใช้ งาน ทางด้าน วิทยา ศาสตร์ เท่า นั้น ซึ่ง จะ ไม่ เกี่ยว ข้องกับชีวิต ประจำ วัน มาก นัก แต่ ใน ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ ได้ มี ขนาด เล็ก ลง และ ราคา ก็ ไม่ แพง นัก คน ทั่ว ไป สามารถ ซื้อ หา มา ใช้ ได้ เหมือนกับเครื่องใช้ ไฟ ฟ้า โดย ทั่ว ไป
ใน หน่วย งาน ทั้ง ภาค รัฐบาล และ เอกชน ก็ มี การ นำ คอมพิวเตอร์ มา ใช้ ใน หน่วย งาน ขึ้น และ มี แนวโน้มที่ จะ มี การ ใช้ สูง ขึ้น เหตุ ผล ที่ มี การ นำ คอมพิวเตอร์ มา ใช้ ใน ชีวิต ประจำ วัน เพิ่ม มาก ขึ้น คือ
1 . คอมพิวเตอร์ สามารถ จัด เก็บ ข้อ มูล ได้ เป็น จำนวน มาก เช่น เก็บ ข้อ มูล งาน ทะเบียน ราษฏฐ์ของ กรม การ ปก ครอง กระทรวง มหาดไทย ซึ่ง สามารถ ตรวจ สอบ ประ วัติ ของ บุคคล ต่างๆได้ เป็น ต้น
2 . คอมพิวเตอร์ สามารถ ทำ งาน ได้ รวด เร็ว งาน บาง อย่าง คอมพิวเตอร์ จะ ทำ ได้ ใน พริบ ตา ใน ขณะ ที่ ถ้า ให้ คน ทำ อาจ จะ ต้อง ใช้ เวลา นา น
3 . คอมพิวเตอร์ สามารถ ทำ งาน ได้ โดย ไม่ ต้อง หยุด พัก คือ ทำ งาน ได้ ตลอด เวลา ใน ขณะ ที่ ยัง ต้อง มี ไฟ ฟ้า อยู่
4 . คอมพิวเตอร์ สามารถ ทำ งาน ได้ อย่าง ถูก ต้อง และ แม่น ยำ ถ้า มี การ กำหนด โปรแกรม ทำ งาน ที่ ถูก ต้อง จะ ไม่ มี การ ทำ งาน ผิด พลาด ขึ้น มา
5 .คอมพิวเตอร์ สามารถ ทำ งาน แบบ คน ได้ ใน สภาพ แวด ล้อม ที่ เป็น อันตราย ต่อ สุข ภาพ ร่าง กาย เช่น ที่ มี ก๊าซ พิษ กัมมันตภาพรังสี หรือ ใน งาน ที่ มี ความ เสี่ยง สูง ใน โรง งาน อุตสาหกรรม เป็น ต้น บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน งาน ต่างๆ เช่น
1 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน สถาน ศึกษา
ปัจจุบัน ตาม สถาน ศึกษา ต่างๆ ได้ มี การ นำ คอมพิวเตอร์ มา ใช้ ใน การ เรียน การ สอน อย่าง มาก มาย รวม ทั้ง ใช้ คอมพิวเตอร์ ใน งาน บริหาร ของ โรงเรียน เช่น การ จัด ทำ ประวัติ นัก เรียน ประวัติ ครู อาจารย์ การ คัด คะแนน สอบ การ จัด ทำ ตา ราง สอน ใช้ คอมพิวเตอร์ ใน งาน ห้อง สมุด การ จัด ทำ ตา ราง สอ น เป็น ต้น
ตัว อย่าง ใน การ ประยุกต์ ด้าน การ ศึกษา เช่น โปรแกรม ราย งาน การ ลง ทะเบียน เรียน โปรแกรม ตรวจ ข้อ สอบ เป็น ต้น
2 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน งาน วิศวกรรม
คอมพิวเตอร์ สามารถ จะ ทำ งาน ใน ด้าน วิศวกรรม ได้ ตั้ง แต่ ขั้น ตอน การ ลอก เขียน แบบ จน กระทั่ง ถึง การ ออก แบบ โครง สร้าง ของ สถาปัตยกรรม ต่างๆ ต ลอด จน ช่วย คำนวณ โครง สร้าง ช่วย ใน การ วาง แผน และ ควบ คุม การ สร้าง
3 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน งาน วิทยา ศาสตร์
คอมพิวเตอร์ สามารถ ทำ งาน ร่วมกับเครื่องมือ ทางวิทยา ศาสตร์ ต่างๆ เช่น เครื่องมือ วิเคราะห์ สาร เคมี เครื่องมือ การ ทด ลอง ต่างๆ แม้ กระทั่ง การ เดิน ทางของ ยาน อวกาศ ต่างๆ การ ถ่าย พื้น ผิว โลก บน ดาว อังคาร เป็น ต้น
4 . บท บาท คอมพิวเตอร์ ใน งาน ธุรกิจ
คอมพิวเตอร์ สามารถ จัด เก็บ ข้อ มูล ได้ มาก มาย มี ความ รวด เร็ว และ ถูก ต้อง ทำ ให้ สามารถ ได้ ข้อ มูล ที่ ช่วย ให้ สามารถ ตัด สิน ใจ ใน การ ดำ เนิน ธุรกิจ ตลอด จน งาน ทางด้าน เอก สาร งาน พิมพ์ ต่างๆ เป็น ต้น
5 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน งาน ธนาคาร
ใน แวด วง ธนาคาร นับ ได้ ว่า คอมพิวเตอร์ ได้ เข้า มา มี บท บาท มาก ที่ สุด เพราะ ธนาคาร จะ มี การ นำ ข้อ มูล < Transaction > เป็น ประ จะ ทุกวัน การ หา อัตรา ดอก เบี้ย ต่างๆ นอก จาก นี้ การ ใช้ บริการ ATM ซึ่ง ลูก ค้า สามารถ ฝาก ถอน เงิน ได้ จากเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งมำให้ สะดวก แก่ ผู้ ใช้ บริการ เป็น< wbr>อย่าง ยิ่ง และ เป็น ที่ นิยม แพร่ หลาย ใน ปัจจุบัน
6 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน ร้าน ค้า ปลีก ปัจจุบัน เห็น ได้ ว่า ได้ มี ธุรกิจ ร้าน ค้า ปลีก หรือ ที่ เรียก ว่า " เฟรน ไซน์ " เป็น จำนวน มาก ได้ มี การ นำ คอมพิวเตอร์ เข้า มา ใช้ ใน การ ให้ บริการ ลูก ค้า เช่น ให้ บริการ ชำระ ค่า น้ำ - ไฟ ฟ้า ค่า โทรศัพท์ เป็น ต้น จะ เห็น ได้ ว่า มี การ online ระหว่าง ร้าน ค้า เหล่า นั้นกับหน่วย งาน นั้นๆ เพื่อ สามารถ ตัด ยอด บัญชี ได้ เป็น ต้น
7 . บท บาท คอมพิวเตอร์ ใน วง การ แพทย์ คอมพิวเตอร์ ได้ ถูก นำ มา ใช้ ใน การ เก็บ ประวัติ ของ คน ไข้ ควบ คุม การ รับ และ จ่าย ยา ตลอด จน ยัง อยู่ ใน อุปกรณ์เครื่องมือ ทางการ แพทย์ เช่น เครื่องมือ ผ่า ตัด บัน ทึก การ เต้น ของ หัว ใจ ตรวจ คลื่น สมอง และ ด้าน การ หา ตำแหน่ง ของ อวัยวะ ก่อน การ ผ่า ตัด เป็น ต้น
8 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน การ คมนาคม และ การ สื่อ สาร
ใน
|
สำหรับ การ ใช้ คอมพิวเตอร์ ใน ทางโทรคมนาคม จะ เห็น ว่า ปัจจุบัน การ จอง ตั๋วเครื่องบิน จะ มี กา รนำ เอา คอมพิวเตอร์ มา ใช้ เป็น จำนวน มาก รวม ถึง การ จอง ตั๋ว ผ่าน ทาง Internet ด้วย ตน เอง เห็น ได้ ว่า เพิ่ม ความ สะดวก สบาย ให้ แก่ ผู้ ใช้ บริการ และ นอก จาก นี้ ยัง มี เครือ ข่าย ของ สาย การ บิน ทั่ว โลก ทำ ให้ ผู้ ใช้ บริการ สามารถ เลือก จอง ได้ ตาม สาย การ บิน ต่างๆ เป็น ต้น
9 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน งาน ด้าน อุตสาหกรรม
ใน วง การ อุตสาหกรรม นับ ได้ ว่า คอมพิวเตอร์ ได้ เข้า มา มี บท บาท เป็น อย่าง มาก ตั้ง แต่ การ วาง แผน การ ผลิต กำหนด เวลา การ ผลิต จน กระทั่ง ถึง การ ผลิต สิน ค้า ควบ คุม ระบบ การ ผลิต ทั้ง หมด
ใน ราย งาน ทางอุตสาหกรรม ได้ มี การ นำ คอมพิวเตอร์ มา ใช้ ใน การ ควบ คุม การ ทำ งาน ของเครื่องจักร เช่น การ เจาะ ตัด ไส กลึง เป็น ต้น ตลอด จน โรง งาน ผลิต รถ ยนต์ ก็ จะ ใช้ หุ่น ยนต์ คอมพิวเตอร์ ใน การ ทา สี พ่น สี รวม ถึง การ ประ กอ บน รถ ยนต์ เป็น ต้น
10 . บท บาท ของ คอมพิวเตอร์ ใน วง ราช การ
คอมพิวเตอร์ ถูก นำ มา ใช้ ใน งาน ทะเบียน ราษฏร์ ช่วย ใน การ นับ คะแนน การ เลือก ตั้ง และ การ ประกาศ ผล เลือก ตั้ง การ คิด ภาษี อากร การ เก็บ ข้อ มูล สถิติสัมมโน ประชา กร การ เก็บ เงิน ค่า ไฟ ฟ้า น้ำ ประปา ค่า ใช้ โทรศัพท์ เป็น ต้น
บทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
จุดกำเนิดของคอมพิวเตอร์ ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็นวิธีการคำนวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวณอย่างง่าย ๆ คือ" กระดานคำนวณ" และ "ลูกคิด"
ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคำแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กำเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหารได้ด้วย
ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้ โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่ ซึ่งได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
ต่อมาในศตวรรษเดียวกัน ชาวอังกฤษชื่อ Charles Babbage ได้ทำการสร้างเครื่องสำหรับแก้สมการโดยใช้พลังงานไอน้ำ เรียกว่า difference engine และถัดจากนั้นได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เมื่อเขาได้ทำการออกแบบ เครื่องจักรสำหรับทำการวิเคราะห์ (analytical engine) โดยใช้พลังงานจากไอน้ำ ซึ่งได้มีการออกแบบให้ใช้บัตรเจาะรูของ Jacquard ในการป้อนข้อมูล ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้มีหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล หน่วยแสดงผล และหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ครบตามรูปแบบของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่โชคไม่ดีที่แม้ว่าแนวความคิดของเขวจะถูกต้อง แต่เทคโนโลยีในขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเครื่องที่สามารถทำงานได้จริง อย่างไรก็ดี Charles Babbage ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์คนแรก และผู้ร่วมงานของเขาคือ Augusta Ada Byron ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนโปรแกรมคนแรกของโลก
ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคำแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กำเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหารได้ด้วย
ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้ โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่ ซึ่งได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
ต่อมาในศตวรรษเดียวกัน ชาวอังกฤษชื่อ Charles Babbage ได้ทำการสร้างเครื่องสำหรับแก้สมการโดยใช้พลังงานไอน้ำ เรียกว่า difference engine และถัดจากนั้นได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เมื่อเขาได้ทำการออกแบบ เครื่องจักรสำหรับทำการวิเคราะห์ (analytical engine) โดยใช้พลังงานจากไอน้ำ ซึ่งได้มีการออกแบบให้ใช้บัตรเจาะรูของ Jacquard ในการป้อนข้อมูล ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้มีหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล หน่วยแสดงผล และหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ครบตามรูปแบบของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่โชคไม่ดีที่แม้ว่าแนวความคิดของเขวจะถูกต้อง แต่เทคโนโลยีในขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเครื่องที่สามารถทำงานได้จริง อย่างไรก็ดี Charles Babbage ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์คนแรก และผู้ร่วมงานของเขาคือ Augusta Ada Byron ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนโปรแกรมคนแรกของโลก
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ ซึ่งประกอบกันเป็น “สารสนเทศ” นั้น สามารถลื่นไหลได้สะดวก รวดเร็ว จนสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไปถึงระดับองค์กรอุตสาหกรรม ภาคสังคม ตลอดจนในระดับประเทศและระหว่างประเทศ จนกระทั่งภาวะ “ไร้พรหมแดน” อันเนื่องมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในกิจกรรมและวงการต่างๆ และนับเป็นความกลมกลืนสอดคล้องกันอย่างยิ่ง ที่การพัฒนาบุคลากรในสังคมอันประกอบด้วยภาคการศึกษา และการฝึกอบรมเป็นเรื่องราวของการเรียนรู้สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูล (Data) ข่าวสาร (Information)ก็ตาม ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเครื่องมือที่สามารถนำประโยชน์มาสู่วงการศึกษา ได้อย่างเหมาะสมหากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์และคุ้มค่าต่อการลงทุน (ไพรัช ธัชยพงษ์และพิเชษ ดุรงคเวโรจน์ .2541
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงอย่างหนึ่งที่นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งได้แก่ “คอมพิวเตอร์”(Computer) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวงการ โดยเฉพาะวงการศึกษาได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นในด้านการบริหาร การบริการ และการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน เป็นต้น
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายของ “คอมพิวเตอร์” ไว้ว่า”เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์”คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานแทนมนุษย์ในด้านการคำนวณและสามารถจำข้อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้ เพื่อการเรียกใช้งานครั้งต่อไป รวมทั้งสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ (Symbol) ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม นอกจากนี้ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลไว้ในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ (ตวงแสง ณ นคร .2542)
คอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในวงการศึกษา หรืออาจเรียกว่า คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา (Computer-Based Education, Instructional Computer : IC, Computer-Based Instruction : CBI) มีความหมายเหมือนกันคือ การนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ไม่ว่าจะ เป็นการจัดการเรียนการสอน การลงทะเบียน การจัดทำบัตรนักศึกษา การจัดทำผลการเรียนการสอนรวมไป จนถึงการออกใบรับรองการจบหลักสูตร
Robert Taylor นักเทคโนโลยีการศึกษา ได้แบ่งการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ไว้ในหนังสือ the Computer in the School : Tutor, Tutee โดยได้แบ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในโรงเรียนออกเป็น 3 ลักษณะคือ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของติวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของอุปกรณ์ การเรียนการสอนและการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของผู้เรียน (ดิเรก ธีระภูธร .2545)
แต่กระบวนการในการจัดการศึกษาในภาพรวม ไม่ได้หมายถึงสถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ยังมีหน่วยงานทางการศึกษาและองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและสนับสนุนการจัดการศึกษาด้วย ฉะนั้นบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องนำมาใช้ในการศึกษา จึงแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. คอมพิวเตอร์เพื่อการบริหาร (computer Applications into Administration)
การบริหารการศึกษานับเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทาง นโยบาย อันนำไปสู่แนวทางปฏิบัติในการจัดการศึกษา ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น สิ่งสำคัญในการที่จะช่วยให้บริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็คือความพร้อมของข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อการตัดสินใจและกำหนดนโยบายการศึกษา คอมพิวเตอร์จึงเข้ามามีบทบาทในการบริหารการศึกษามากขึ้น ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สรุปได้ดังนี้
1.1 การบริหารงานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารงานบุคคล งานธุรการ การเงินและบัญชีการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดทำระบบฐานข้อมูล (Management Information System :MIS) เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและบริหารการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
1.2 งานบริหารการเรียนการสอน เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารของครูผู้สอนนอกเหนือจากงานด้านการสอนปกติ เช่น งานทะเบียน งานด้านเอกสาร การจัดตารางสอน ตารางสอบ การตรวจและการเก็บรวบรวมคะแนน การสร้าง-วิเคราะห์ข้อสอบ การวัดและประเมินผลการเรียน เป็นต้น
2. คอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการเรียนการสอน (Computer -Managed Instruction)
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียนมากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ การเก็บประวัตินักเรียนเฉพาะวิชาที่สอนเพื่อดูพัฒนาการด้านการเรียนและการให้คำปรึกษา และช่วยในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนของวิชาที่สอน รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียน
3. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer -Assisted Instruction : CAI)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถ โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ เช่นเดียวกับการสอนระหว่างครูกับนักเรียนที่อยู่ในห้องตามปกติ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ที่จะให้นักเรียนได้เรียน กล่าวคือ ประเภทติวเตอร์ ประเภทแบบฝึกหัด ประเภทการจำลอง ประเภทเกม ประเภทแบบทดสอบซึ่งในแต่ละประเภทก็มีจุดมุ่งหมายในการให้ความรู้แก่ผู้เรียนแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือช่วยลดความแตกต่างระหว่างผู้เรียน เช่นผู้ที่มีผลการเรียนต่ำ ก็สามารถชดเชยโดยการเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ และสำหรับผู้มีผลการเรียนสูงก็สามารถเรียนเสริมบทเรียนหรือเรียนล่วงหน้าก่อนที่ผู้สอนจะทำการสอนก็ได้
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)